วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558






10.โรบิน ฟัน แปร์ซี (ดัตช์Robin van Persieเสียงอ่าน: [vɑn ˈpɛrsi]; เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983) เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ ตำแหน่งศูนย์หน้าของเฟแนร์บาห์เช ในซูเปอร์ลีก ประเทศตุรกี นอกจากนั้นยังเล่นเป็นปีกซ้ายได้อีกด้วย
ฟัน แปร์ซีเป็นบุตรของคู่สามีภรรยาศิลปิน จึงได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักให้เป็นศิลปินตามรอยเท้าของผู้ให้กำเนิด แต่ฟัน แปร์ซีกลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอลและได้เริ่มเล่นฟุตบอลกับเอส.เบ.เฟ. เอกแซ็ลซียอร์ (S.B.V. Excelsior) สโมสรดัตช์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งโดยเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรเมื่อปี ค.ศ. 2001 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลไฟเยอโนร์ด สโมสรดังประจำบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2002 ทำให้แปร์ซีมีโอกาสได้สัมผัสด้วยแชมป์ยูฟ่าคัพ 2002 อีกด้วย ฟัน แปร์ซีเริ่มมีชื่อเสียงเนื่องจากเป็นนักเตะอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ แต่กลับมีปัญหาเรื่องระเบียบวินัยกับไฟเยอโนร์ดแห่งนี้ จนแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ ผู้จัดการทีมที่เริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของเขาต้องการให้เขาย้ายสโมสร จนในที่สุดก็เป็นอาร์เซนอล (ภายใต้การคุมทีมของอาร์แซน แวงแกร์) ที่ยังเล็งเห็นถึงความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวฟัน แปร์ซีอยู่ และได้ทำสัญญากับเขาเมื่อปี ค.ศ. 2004 ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ นับจากนั้นมา ฟัน แปร์ซีก็ช่วยให้อาร์เซนอลคว้าแชมป์คอมมิวนิตีชิลด์และเอฟเอคัพตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่มาค้าแข้งอยู่ที่ลอนดอน จากนั้นก็ได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีแห่งเมืองโรตเตอร์ดัมเมื่อปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 4 ปีแรกที่อยู่กับอาร์เซนอลนั้น เขาก็ไม่ได้มีโอกาสได้ลงสนามมากเท่าที่ควรเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ แต่ยามใดที่พร้อมลงสนามก็มักจะได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงเสมอ


9.เอแดน มีกาแอล อาซาร์ (ฝรั่งเศสEden Michael Hazard) เกิดวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1991 ที่เมืองลาลูเวียร์ ประเทศเบลเยียม ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเชลซี อาซาร์มีจุดเด่นด้านการเล่นแบบสร้างสรรค์ ความเร็ว และความสามารถพิเศษ และได้รับการกล่าวว่าเป็น "กองกลางตัวรุกที่สามารถเปลี่ยนเกมด้วยการเลี้ยงลูกฟุตบอล"[3][4][5] รวมไปถึงได้รับฉายาว่า "นักฟุตบอลที่เป็นฝันร้ายของกองหลัง" ซึ่งเขาได้รับการเปรียบเทียบความสามารถทักษะและลีลาการเล่น จากสื่อมวลชน และผู้จัดการทีม กับเลียวเนล เมสซี เจ้าของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี และคริสเตียโน โรนัลโด รวมถึงแกเร็ธ เบล อาซาร์เคยติดผู้เล่นยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2014-2015 [3][6][7][8][9][10][11]
อาซาร์เป็นลูกชายของอดีตนักฟุตบอลชาวเบลเยียม และเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลอาชีพในประเทศเบลเยียมกับรัวยาลสตาดแบรนัว สโมสรท้องถิ่น และตูว์บีซต่อมาในปี พ.ศ. 2548 เขาได้ย้ายมาเล่นให้กับลีล สโมสรในลีกเอิง โดยอาซาร์ใช้เวลา 2 ปีกับอคาเดมีของสโมสร และเมื่ออายุ 16 ปี เขาได้เล่นกับสโมสรชุดใหญ่ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เขาได้กลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของสโมสรภายใต้การคุมทีมของรูดี การ์ซีอา ด้วยการลงเล่นมากกว่า 190 นัด ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาได้ลงเล่น และเขายังได้รับรางวัลสหภาพนักฟุตบอลอาชีพนานาชาติ (UNFP) และนักฟุตบอลเยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี และเป็นผู้เล่นคนแรกที่ไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลนี้[12] ในฤดูกาล 2009–10 อาซาร์เป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้รับรางวัล 2 ครั้งติดต่อกัน[13] และเขายังได้รับการคัดเลือกเป็นทีมยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย



8.ฟร็องก์ รีเบรี (ฝรั่งเศสFranck Ribéry) เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ในบุนเดสลีกาและฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสเขาเล่นในตำแหน่งปีก โดยเฉพาะปีกซ้าย และเป็นที่รู้จักในด้านฝีเท้า พละกำลัง ทักษะและการผ่านลูกที่แม่นยำ[1] ยังมีการอธิบายถึงเขาว่าเป็นผู้เล่นที่ "รวดเร็ว มีเล่ห์เหลี่ยม และความสามารถในการเลี้ยงลูกที่ยอดเยี่ยม สามารถที่จะควบคุมลูกบอลที่เท้าได้อย่างดี"[2] ตั้งแต่อยู่กับบาเยิร์นมิวนิก เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นระดับโลก เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลฝรั่งเศสที่ดีที่สุดในรุ่นของเขา ซีเนดีน ซีดานกล่าวถึงเขาว่าเป็น "อัญมณีแห่งฟุตบอลฝรั่งเศส"[3]



7.บัสเตียน ชไวน์ชไตเกอร์ (เยอรมันBastian Schweinsteiger เกี่ยวกับเสียงนี้ De-Bastian_Schweinsteiger.ogg  ) เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1984 ปัจจุบันเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนี และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ โดยก่อนหน้านั้นชไวน์ชไตเกอร์เล่นให้กับบาเยิร์นมิวนิก ในบุนเดสลีกาของประเทศเยอรมนี มาอย่างยาวนาน
ชไวน์ชไตเกอร์มีฉายาหรือชื่อเล่นว่า "ชไวนี" เป็นนักฟุตบอลที่เล่นในตำแหน่งกองกลาง โดยสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนกลาง นอกจากนี้ยังรับหน้าที่เป็นรองกัปตันทีมบาเยิร์นมิวนิกคู่กับฟิลิปป์ ลาห์ม กัปตันทีมตัวจริงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมบาเยิร์นมิวนิกและทีมชาติเยอรมนี


6.หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปนLuis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ตำแหน่งกองหน้า
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงมอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมา ในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีโอนัลในกรุงมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรซเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ไกรฟฟ์มาร์โก ฟัน บัสเติน และแด็นนิส แบร์คกัมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่ไหล่ของนักเตะเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟินออตมัน บักกัล และถูกแบน 7 นัด[2] ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม 2011 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล[3] และในฤดูกาลต่อมา เขาก็พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 ไปครอง ในเดือนเมษายน 2014 เขาก็ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013-14


5.อันเดรส อีเนียสตา ลูคัน (สเปนAndrés Iniesta Luján) เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 เป็นนักฟุตบอลชาวสเปน เป็นกองกลางของทีมชาติสเปนในชุดชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ปัจจุบันเขาเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาในลาลีกา ภายหลังจากการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนลีก 2009 เวย์น รูนีย์ออกมากล่าวว่า เขาเชื่อว่าอีเนียสตาเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางที่ดีที่สุดในโลก[1] เขายังติดสัญญากับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาจนถึงปี 2010
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 นัดชิงชนะเลิศ เขาทำประตูให้กับฟุตบอลทีมชาติสเปน ในนาทีที่ 116 ในการแข่งขันกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ นับเป็นประตูสุดท้ายในฟุตบอลโลกครั้งนี้ และทำให้เขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งนัด (Man of the Match) ของเกมนี้อีกด้วย[2]


4.ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (เซอร์โบ-โครเอเชียZlatan Ibrahimović) เกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ.1981 ที่ประเทศสวีเดน เป็นนักฟุตบอลชาวสวีเดนเชื้อสายบอสเนียและโครเอเชีย[3] สวมเสื้อหมายเลข 10 ปัจจุบันอยู่ที่ปารีส แซงต์ แชร์แมง และยังเป็นกัปตันทีมทีมชาติสวีเดนคนปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้ว อิบราฮิโมวิช ยังเป็นเจ้าของสถิติทำประตูให้กับทีมชาติสวีเดนได้สูงสุด คือ 50 ประตู ทำลายสถิติเดิม 49 ประตู ของ สเวน ไรเดลล์ ที่ทำไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 ด้วยการตอกเท้าส่งลูกฟุตบอลเข้าประตูไปในนาทีที่ 24 ในนัดที่สวีเดนลงเล่นนัดกระชับมิตรกับเอสโตเนีย เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2014[4]


3.อาร์เยิน โรบเบิน (ดัตช์Arjen Robben) เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1984 เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเยอรมันในบุนเดสลีกา สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ตำแหน่งกองหน้า แต่โดยมากเขาเล่นในตำแหน่งปีก เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เล่นที่มีทักษะการเลี้ยงบอล ความเร็ว ความสามารถในการส่งข้ามลูกบอลและความแม่นยำในการยิงระยะไกล เขาเป็นส่วนหนึ่งในทีมฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ และลงแข่งในยูโร 2004ฟุตบอลโลก 2006ยูโร 2008 และฟุตบอลโลก 2010
โรบเบินลงเล่นกับสโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน (FC Groningen) เขาเล่นในฤดูกาล 2000–01 ต่อจากนั้นเซ็นสัญญากับเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน(PSV Eindhoven) ที่นี่เขาได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปีของเนเธอร์แลนด์ และยังได้แชมป์ลีกเอเรอดีวีซี[3] ในฤดูกาลต่อมาสโมสรอังกฤษ มีความสนใจที่จะเซ็นสัญญากับเขา และหลังจากการเจรจาอันยืดเยื้อ เขาร่วมกับสโมสรฟุตบอลเชลซีหลังปิดฤดูกาล 2004
โรบเบินเปิดตัวเล่นกับเชลซีได้ช้าเนื่องจากเขาบาดเจ็บ เมื่อสมบูรณ์เขาช่วยให้เชลซีชนะเลิศในพรีเมียร์ลีกได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และยังติดอยู่ในชื่อผู้เล่นพรีเมียร์ลีกแห่งเดือน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005[4][5] หลังจากฤดูกาลที่ 3 ในอังกฤษ ซึ่งเขามีอาการบาดเจ็บ โรบเบินย้ายมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในลาลีกา ด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโร ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 โรบเบินย้ายมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกด้วยค่าตัวราว 25 ล้านยูโร[6] เขายิง 2 ประตูในนัดเปิดตัว ในฤดูการแรกของเขาที่มิวนิก สโมสรชนะในลีก ถือเป็นชัยชนะในลีกเป็นครั้งที่ 5 ของเขาใน 8 ปี และทีมเข้าสู่รอบตัดสินยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเป็นผู้ยิงในช่วงท้ายเวลาของรองชิงชนะเลิศทำให้มิวนิกชนะโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ ไป 2-1 ประตู ทำให้ทีมได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่ 5 และโรบเบินได้รับเลือกเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ด้วย[7]


2.กริชเตียนู รูนัลดู ดุช ซังตุช อาไวรู (โปรตุเกสCristiano Ronaldo dos Santos Aveiro; เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985) หรือที่รู้จักกันในชื่อคริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักฟุตบอล ชาวโปรตุเกส ปัจจุบันสังกัดอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในลาลีกา เล่นในตำแหน่งกองหน้าและเป็นกัปตันทีม ของฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกสคนปัจจุบัน โรนัลโดเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ฟุตบอลรองจากแกเร็ธ เบล หลังย้ายจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาอยู่กับเรอัลมาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ โรนัลโดได้รับค่าจ้างในการลงเล่นให้กับเรอัลมาดริดจำนวน 12 ล้านปอนด์ต่อปี ทำให้เขาเป็นนักเตะที่มีค่าเหนื่อยมากที่สุดในโลก[2]
โรนัลโดได้ลงเล่นฟุตบอลในนามทีมเยาวชนของอังดูริญญา เมื่อเขาเล่นได้อยู่สองปี ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับนาซีอูนัลในปี 1997 เขาได้ทำสัญญาให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างสปอร์ติงลิสบอน โรนัลโดได้ถูกพิจารณาย้ายตัวไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยคนที่ซื้อเขาคือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซื้อตัวเขามาด้วยจำนวนเงิน 12.24 ล้านปอนด์ โรนัลโดได้แชมป์เอฟเอคัพ ซึ่งเป็นเกียรติประวัติแชมป์แรกของเขาในปี 2003
โรนัลโดลงเล่นในเกมของฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส ในระดับชาตินัดแรกคือตอนเจอกับคาซัคสถาน ในเดือนสิงหาคม 2003 และหลังจากนั้นเขาได้ลงเล่นมากขึ้นรวมทั้งหมดถึงห้าทัวร์นาเมนต์ ได้แก่ ยูโร 2004ฟุตบอลโลก 2006ยูโร 2008ฟุตบอลโลก 2010 และยูโร 2012 เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติโปรตุเกสได้ในการแข่งขันยูโร 2004 ในนัดเปิดการแข่งขันที่เจอกับกรีซ เขาเป็นคนสำคัญในการนำทีมชาติโปรตุเกสเข้าไปชิงชนะเลิศในปี 2004 และหลังจากนั้นโรนัลโดได้มีบทบาทและได้ลงตำแหน่งตัวจริงมากขึ้น ในปี 2008 โรนัลโดได้เป็นกัปตันทีมครั้งแรกของทีมชาติโปรตุเกสได้นำทีมเข้าแข่งขันยูโร 2008สามารถเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ เขาสามารถยิงได้สามประตูในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2012 โรนัลโดได้ลงเล่นครบ 100 นัดสำหรับทีมชาติโปรตุเกสในนัดที่เจอกับไอร์แลนด์เหนือ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในสามนักเตะที่ลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสเกิน 100 นัด[3] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของเขาได้มีคนติดตามถึง 50 ล้านคน[4]
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มีการจัดอันดับตำแหน่งนักเตะรูปงามแห่งยูโร 2008 จัดทำโดยแอลจี บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า คริสเตียโน โรนัลโดได้รับคะแนนโหวตครั้งนี้เป็นอันดับ 1[5] ในปี 2012 โรนัลโดได้รับรางวัลนักกีฬาไอบีเรีย-อเมริกา ประจำปี 2012 ประเภทนักฟุตบอลชาย[6]


1.เลียวเนล อันเดรส "เลโอ" เมสซี กูซีตีนี (สเปนLionel Andrés "Leo" Messi Cuccitini[4] เสียงอ่าน: [ljoˈnel anˈdɾes ˈmesi]) เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นอยู่ในสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีก เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในรุ่นของเขา[5][6][7] และมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นร่วมสมัยที่ดีที่สุดในโลก[8]
เมสซีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีเมื่อเขาอายุ 21 ปี และได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2009 (นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2009)[8][9][10][11] และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 2010[12] ,2011 และ 2012 สไตล์การเล่นของเขาและความสามารถ มักถูกเปรียบเทียบเสมอเดียโก มาราโดนา ซึ่งพูดถึงเมสซีว่าเป็นผู้สืบทอดจากเขา[13][14]
เมสซีเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยและบาร์เซโลนาก็ค้นพบแนวโน้มที่ดีของเขาอย่างรวดเร็ว เขาออกจากทีมเยาวชนสโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์เมืองโรซารีโอ เมื่อปี ค.ศ. 2000 และย้ายพร้อมครอบครัวไปอยู่ยุโรป โดยบาร์เซโลนาเสนอในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้กับเมสซี เขาเปิดตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2004–05 โดยทำลายสถิติทีม โดยเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีก เกียรติประวัติในฤดูกาลแรกของเขาคือชนะการแข่งขันในลาลีกาและชนะครั้งที่ 2 ในลีก รวมถึงในแชมเปียนส์ลีก ในปี ค.ศ. 2006 ฤดูกาลแจ้งเกิดของเขาคือฤดูกาล 2006–07 เขาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว โดยทำแฮตทริกในเอลกลาซีโก จบฤดูกาลยิงประตู 14 ประตู ใน 26 เกมในลีก จากนั้นเมสซีก็ประสบความสำเร็จที่สุดในอาชีพของเขาในฤดูกาล 2008–09 ยิงประตู 38 ประตู เป็นส่วนสำคัญของทีมในการชนะ 3 รายการในฤดูกาลเดียว แต่แล้วสถิตินี้ก็ถูกบดบังไปในฤดูกาลถัดมา ฤดูกาล 2009–10 ที่เมสซียิงประตูไป 47 ประตูในทุกการแข่งขัน เทียบเท่าสถิติของโรนัลโดที่เคยทำให้กับบาร์เซโลนา แต่เขาก็ทำลายสถิตินี้ในฤดูกาล 2010–11 กับประตู 53 ประตูในทุกการแข่งขัน